| 
										
										
										อุบายธรรม   
										
										              หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มีอุบายธรรมลึกซึ้ง 
										สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป 
										มิได้เร่งรัดเอาผล 
										เช่นครั้งหนึ่งมีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อนซึ่งเป็น 
										ลูก  ศิษย์มากราบนมัสการท่าน 
										สนทนากันได้สักพักหนึ่ง 
										เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ 
										ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ 
										พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา 
										นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า 
										“จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง 
										ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ ” 
										หลวงปู่ดู่ท่านก็ตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ 
										ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ 
										นาที ก็พอ” นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ๕ 
										นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร 
										จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงพ่อ 
										
										               ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง 
										ซื่อสัตย์ต่อตัวเองทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียวบางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ 
										เพราะได้เวลาปฏิบัติจิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ 
										ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัวด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่ 
										ต่อมาเขาได้มีโอกาสมานมัสการท่านอีกครั้ง 
										ที่นี้หลวงปู่ดู่ท่านให้โอวาทว่า “ที่แกปฏิบัติอยู่ 
										ให้รู้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง” คำพูด 
										
										ของหลวงปู่ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น 
										ศรัทธาและความเพียร 
										ต่อการปฏิบัติก็มีมากขึ้นตามลำดับ 
										ถัดจากนั้นไม่กี่ปี 
										เขาผู้ที่อดีตเคยเป็นนักเลงเหล้าก็ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิตตั้งใจปฏิบัติธรรมเรื่อยมา 
										
										              อีกครั้งหนึ่งมีชาวบ้านหาปลามานมัสการท่าน 
										และก่อนกลับท่านก็ให้เขาสมาทานศีล ๕ 
										เขาเกิดตะขิดตะขวงใจกราบเรียนท่านว่า 
										“ผมไม่กล้าสมาทานศีล ๕ 
										เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวก็ต้องไปจับปลา 
										จับกุ้ง มันเป็นอาชีพของผมครับ ” 
										หลวงปู่ตอบเขาด้วยความเมตตาว่า 
										“แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่  ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว 
										อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา 
										จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร 
										ยังไงๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะ 
										
										มีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มี ศีล ” 
										
										              หลวงปู่ดู่ท่านไม่เพียงพร่ำสอนให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายเจริญบำเพ็ญ 
										คุณงามความดีเท่านั้น 
										หากแต่ยังเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญ 
										และระมัดระวังในการรักษาไว้ 
										ซึ่งคุณงามความดีนั้นๆ ให้คงอยู่ 
										รวมทั้งเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ท่าน 
										มักจะพูดเตือนเสมอๆ 
										ว่าเมื่อปลูกต้นธรรมด้วยดีแล้ว 
										ก็ต้องคอยหมั่นระวังอย่าให้หนอนและแมลง 
										ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง 
										มากัดกินทำลายต้นธรรมที่อุตส่าห์ปลูกขึ้น 
										และอีกครั้งหนึ่งที่ท่านแสดงถึงแบบอย่างของความเป็นครูอาจารย์ที่ปราศจากทิฏฐิมานะและเปี่ยมด้วยอุบายธรรม 
										ก็คือครั้งที่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
										๒ คน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน 
										มากราบลาพร้อมกับเรียนให้ท่านทราบว่า 
										จะเดินทางไปพักค้างเพื่อปฏิบัติธรรมกับ 
										ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน 
										วัดป่าบ้านตาด จังหวัด อุดรธานี 
										
										             หลวงปู่ดู่ท่านฟังแล้วก็ยกมือพนมขึ้นไหว้ไปทางข้างๆ 
										พร้อมกับพูดว่า “ข้าโมทนากับพวกแกด้วย 
										ตัวข้าไม่มีโอกาส...” ”ไม่มีเลยที่ท่านจะห้ามปราม 
										หรือแสดงอาการที่เรียกว่าหวงลูกศิษย์ 
										ตรงกันข้ามมีแต่จะส่งเสริม สนับสนุน 
										ให้กำลังใจเพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านขวนขวายในการปฏิบัติธรรมยิ่งๆ 
										ขึ้นไป 
										
										             แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีลูกศิษย์มาเรียนให้ท่านทราบถึงครูอาจารย์นั้นองค์นี้ในลักษณะตื่นครูตื่นอาจารย์ 
										ท่านก็จะปรามเพื่อวกเข้าสู่เจ้าตัว 
										โดยพูดเตือนสติว่า “ครูอาจารย์ดีๆ 
										แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแก 
										ต้องปฏิบัติให้จริง 
										สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี”  ” 
										
										             หลวงปู่ดู่ท่านมีแนวทางการสอนธรรมะที่เรียบง่าย 
										ฟังง่ายชวนให้ติดตามฟัง 
										ท่านนำเอาสิ่งที่เข้าใจยากมาแสดงให้เข้าใจง่าย 
										เพราะท่านจะยกอุปมาอุปไมย ประกอบในการสอนธรรมะจึงทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและเกิดความเข้าใจในธรรมที่ท่านนำมาแสดง 
										แม้ว่าท่านมักจะออกตัวว่าท่านเป็นพระบ้านนอกที่ไม่มีความรู้อะไร 
										แต่สำหรับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย 
										คงไม่อาจปฏิเสธว่า 
										หลายครั้งที่ท่านสามารถพูดแทงเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้ฟังทีเดียว   
										
										             อีกประการหนึ่ง 
										ด้วยความที่ท่านมีรูปร่างลักษณะที่เป็นที่น่าเคารพ 
										เลื่อมใส 
										เมื่อใครได้มาพบเห็นท่านด้วยตนเอง 
										และถ้ายิ่งได้สนทนาธรรมกับท่านโดยตรงก็จะยิ่งเพิ่มความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาในตัวท่านมากขึ้นเป็นทวีคูณ 
										
										             หลวงปู่ดู่ท่านพูดถึงการประพฤติปฏิบัติของคนสมัยนี้ว่า 
										“คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน 
										ธรรมเท่าปลายเข็ม 
										เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก 
										เรื่องเละๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด 
										เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง 
										ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง” 
										ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์โดยให้พยายามถือเอาเหตุการณ์ต่างๆ 
										ที่เกิดขึ้นมาเป็นครูสอนตนเองเสมอ 
										เช่นในหมู่คณะ หากมีผู้ใดประพฤติปฏิบัติดี 
										เจริญใ ธรรมปฏิบัติ 
										ท่านก็กล่าวชมและให้ถือเป็นแบบอย่าง 
										แต่ถ้ามีผู้ประพฤติผิด 
										ถูกท่านตำหนิติเตียน 
										ก็ให้น้อมเอาเหตุการณ์นั้นๆ 
										มาสอนตนทุกครั้งไป 
										ท่านไม่ได้ชมผู้ทำดีจนหลงลืมตน 
										และท่านไม่ได้ติเตียนผู้ทำผิดจนหมดกำลังใจ 
										แต่ถือเอาเหตุการณ์ 
										เป็นเสมือนครูที่เป็นความจริง 
										แสดงเหตุผลให้เห็นธรรมที่แท้จริง 
										
										              การสอนของท่านก็พิจารณาดูบุคคลด้วย 
										เช่น คนบางคนพูดให้ฟัง 
										เพียงอย่างเดียวไม่เข้าใจ 
										บางทีท่านก็ต้องทำให้เกิดความกลัว 
										เกิดความ ละอายบ้างถึงจะหยุด 
										เลิกละการกระทำที่ไม่ดีนั้นๆ ได้ 
										หรือบางคนเป็นผู้มีอุปนิสัยเบาบางอยู่แล้วท่านก็สอนธรรมดา 
										การสอนธรรมะของท่าน 
										บางทีก็สอนให้กล้าบางทีก็สอนให้กลัวที่ว่าสอนให้กล้านั้นคือ 
										ให้กล้าในการทำความดี 
										กล้าในการประพฤติปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากใจ 
										ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป 
										ส่วนที่สอนให้กลัวนั้น ท่านให้กลัวในการทำความชั่ว 
										ผิดศีลธรรม เป็นโทษ 
										ทำแล้วผู้อื่นเดือดร้อน 
										บางทีท่านก็สอนให้เชื่อ 
										คือให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม 
										พระสงฆ์ เชื่อในเรื่องกรรม 
										อย่างที่ท่านเคยกล่าวว่า “เชื่อไหมล่ะ 
										ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ 
										แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง 
										” 
										
										              หลวงปู่ดู่ท่านสอนให้มีปฏิปทาสม่ำเสมอท่านว่า“ขยันก็ให้ทำขี้เกียจก็ให้ทำ 
										ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำวันไหนเลิกกินข้าวแล้วนั่นแหละจึงค่อยเลิกทำ” 
										
										              การสอนของท่านนั้นมิได้เน้นแต่เพียงการนั่งหลับตาภาวนา 
										หากแต่หมายรวมไปถึงการกำหนดดู กำหนดรู้ 
										และพิจารณาสิ่งต่างๆ 
										ในความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ 
										เป็นอนัตตาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 
										ท่านชี้ให้เห็นถึงสังขารร่างกายที่มันเกิดมันตายอยู่ตลอดเวลา 
										ท่านว่า 
										เราวันนี้กับเราเมื่อตอนเป็นเด็กมันก็ไม่เหมือนเก่า 
										เราขณะนี้กับเราเมื่อวานก็ไม่เหมือนเก่า 
										จึงว่าเราเมื่อตอนเป็นเด็ก 
										หรือเราเมื่อวานมันได้ตายไปแล้ว 
										เรียกว่าร่างกายเรามันเกิด - ตาย 
										อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันเกิด 
										- ตาย อยู่ทุกขณะจิต 
										ท่านสอนให้บรรดาศิษย์เห็นจริงถึงความสำคัญของความทุกข์ยาก 
										ว่าเป็นสิ่งมีคุณค่าในโลก 
										
										              ท่านจึงพูดบ่อยครั้งว่า 
										การที่เราประสบทุกข์ 
										นั่นแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว 
										เพราะอาศัยทุกข์นั่นแหละ 
										จึงทำให้เราเกิดปัญญาขึ้นได้
 |